การสวดมนต์ที่ถูกต้อง‬" จะส่งผลานิสงส์ในทันทีที่ท่านสวดเสร็จ‬ ไม่ต้อง‪‎รอผล‬ ในวันอื่นเลย และขออธิบายอาการ‬ ทำไมสวดมนต์แล้วหาวจังเลย ทำไมเสียงแหบแห้ง ขนลุกขนพอง ทำไมมีลมตีขึ้นออกมาเป็นอาการคล้าย ๆ เรอ สำรอก

ซึ่งขอบอกกันเลยตรงนี้ว่า ท่านไม่ได้ผิดปกติอะไรหรอกค่ะ แค่เพียงเวลาท่านออกเสียงสวดมนต์ไปนั้น เสียงของท่านมันจะเป็นแสงเล็ก ๆ แล้วบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้วเขาได้ยินเขาก็จะตามเสียงมาแล้วเข้ามาอาศัยร่างของท่าน ซึ่งเป็นลูกเป็นหลานได้ ‎โมทนาบุญจากการสวดมนต์‬ และยังมีเทพ พรหม เทวดา นางฟ้า รุกขเทวดา เจ้าที่ ฯลฯ เขามานั่งอยู่ข้าง ๆ ‎โมทนาบุญกับเรา‬ กายหยาบของเรามันกระทบกับกายละเอียดของเขา มันจึงเกิดอาการสารพัดที่บอกมา แต่อย่ากลัวนะคะ ‪ท่านทำดีพวกเขาจึงมาขอมีส่วนในบุญด้วย‬ …‪การสวดมนต์นั้น‬ ‪ไม่มีมนต์บทใดที่สามารถขจัดทุกข์ได้‬ คนเข้าใจผิดเรื่องนี้มาก‎ทุกข์ยังตั้งอยู่‬ แต่ใจเรามันจะสามารถยอมรับความจริงได้แล้ว ใจก็จะเบาลงเอง
…อย่างแรก "‪‎ต้องสมาทานศีลห้าทุกวัน‬ เวลาไหนก็ได้‎เพราะศีลจะครอบคลุมเป็นเกราะให้เราตลอดทั้งวันทั้งคืนที่เราไม่ได้ไปเบียดเบียนใคร‬ ถึงศีลขาดไปหนึ่งข้อ แต่อีกสี่ข้อก็ยังค้ำจุนให้เรามีศีลอยู่ และ ‎พุทธคุณของศีลนี้จะส่งผลให้เราเจอแต่สิ่งดีงามตลอดทั้งวัน‬
…‪หลักการสวดมนต์‬ เราต้องสมาทานศีลห้าก่อนสวดบทอื่นใดในโลกนี้ เพราะการสมาทานศีลห้า จะเป็นการกรองเสียงให้เป็นทิพย์ก่อน แล้วเราจึงสวดบทอื่นได้หมดทุกบท
….‪‎หลักการอีกอย่างคือการ‬ สวดด้วยความตั้งใจ เสียงดังฟังชัด การสวดมนต์ไม่ใช่การภาวนา เราจึงต้อง ให้เทวดา นางไม้ เจ้าที่ ฯลฯ ได้ยิน ‪‎มาร่วมโมทนาบุญกับเรา‬ เราต้องมั่นใจในพลังที่ออกจากน้ำเสียงของเรา ว่าเสียงที่เปล่งไปนั้น สามารถดังไปทั่วสวรรค์ และ ‪‎ต้องเกิดจากความศรัทธา‬ กราบไหว้พระ ก็ต้องเบญจางคประดิษฐ์ให้สวยงามนิ้วโป้งแตะหว่างคิ้ว พอก้ม หน้าผากให้แตะถึงพื้นไม่ใช่ทิ่มหัวลงไป เหมือนเป็นคนไม่มีศรัทธา อย่างนี้บุญที่ได้ จะไม่ละเอียดเท่าคนที่เขาทำอย่างประณีตค่ะ
…‪การสวดมนต์ก่อนนอนที่ถูกต้อง‬ เรียงลำดับบทสวดดังนี้ค่ะ
( เราจะลงคำเริ่มต้นของบทสวดของแต่ละบท ให้นะคะ ) เริ่มจาก

คำบูชาพระ‬ อิมินา สักกาเรนะ พุทธัง อะภิปูชะยามิ (สวดคนเดียวลงด้วย "มิ" แต่สวดหลายคนเปลี่ยนเป็น "มะ") ฯลฯ
……‪‎คำนมัสการพระรัตนตรัย‬
อะระหัง สัมมา สัมพุทโธ ภะคะวา
พุทธังภะคะวันตัง อภิวาเทมิ ฯลฯ
…..‪‎คำอาราธนาศีล5‬
อะหัง ภันเต วิสุง วิสุง รักขะนัตถายะ (ถ้าสวดหลายคนเปลี่ยนจาก อะหัง เป็น มะยัง) ฯลฯ
…..‪‎คำนมัสการพระพุทธเจ้า‬
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (3 จบ) ฯลฯ
…..‪‎ไตรสรณคมณ์‬
พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ ฯลฯ
…..‪‎ศีล‬ 5
ปาณาติปาตา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ ฯลฯ
…..‪คำขอขมาพระรัตนตรัย‬
สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต อุกาสะ ทวารัตเยนะ กะตัง ฯลฯ
…..‪‎คำแผ่เมตตาให้แก่ตนเอง‬ (การที่เราจะแผ่เมตตาให้ใคร ให้จดจำเสมอว่า เราต้องให้เราก่อน เมื่อเรามีบุญเราจึงให้คนอื่นได้ค่ะ)
อะหัง สุขิโต โหมิ ขอให้ข้าพเจ้าจงมีความสุข
อะหัง นิททุกโข โหมิ ขอให้ข้าพเจ้าจงปราศจากทุกข์ ฯลฯ
…..‪‎คำแผ่เมตตาให้แก่ผู้อื่น‬ (พอขึ้นสัพเพ สัตตา วิญญาณของสัตว์ที่เรากินไปในแต่ละวันก็จะไปเกิดในทันทีไม่เกาะตามเนื้อตัวเราแล้วค่ะ)
สัพเพ สัตตา สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง ที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ฯลฯ อิมานิ ปัญจะ สิกขาปะทานิ สะมาทิยามิ (สวด 3 จบ บทนี้ขอให้ปัญญาทางธรรมจงเกิดกับเรา ขาดไม่ได้เช่นกันค่ะ)
หากท่านอยากสวดมนต์บทใดๆ นอกเหนือจากนี้ ให้สวดแทรกไปก่อนที่จะ "แผ่เมตตาให้ตัวเอง" จากนั้นหากใครประสงค์จะนั่งสมาธิ ก็ให้ ‪‎ขอพระกรรมฐานก่อนทุกครั้ง‬ แล้ว นั่งสมาธิเป็นเวลาสั้นๆ

( การเริ่มต้นฝึกการนั่งสมาธิ อย่านั่งนานเพราะระยะเวลาไม่ช่วยให้ท่านได้บุญมากเท่ากับการนั่งแล้วกำหนดสติของเราได้ตลอดต่อเนื่อง อยู่กับลมหายใจ ) ***ในช่วงทำวิปัสสนาสมาธินั้น หากเราเผลอส่งจิตไหลออกนอกแล้วไม่ดึงกลับ ไปคิดถึงคนที่เราชิงชัง เผลอไปคิดถึงลูกถึงสามี คิดถึงงาน ฯลฯ มันไปสวนคำสอนที่พระพุทธเจ้า ท่านทรงสอนให้เรากำหนดรู้อยู่กับลมเท่านั้น สรุปสั้น ๆ ให้เข้าใจก่อนว่า พระพุทธเจ้าไม่สอนให้เรานั่งแล้วคิดส่งจิตไปหาใคร เราต้องทำเพียงให้รู้กายใจในตัวเราเท่านั้น

โดยการตามดูสภาวะธรรม ความจริงตามธรรมชาติที่เกิดขึ้น เช่น ท้องมันพอง เราก็ตามรู้ว่าพอง ท้องมันยุบเราก็ตามรู้ว่ามันยุบ เมื่อปวดข้อ ปวดขาก็ให้ตามรู้ว่าปวดหนอ ๆ ๆ อย่าขยับตัวเด็ดขาด คนที่เริ่มต้นฝึกใหม่ๆ ขอให้นั่งเพียงระยะสั้น (10-15 นาที) ข้อมูลจาก kaijeaw
Share To:

Post A Comment: