ซึ่งขอบอกกันเลยตรงนี้ว่า ท่านไม่ได้ผิดปกติอะไรหรอกค่ะ แค่เพียงเวลาท่านออกเสียงสวดมนต์ไปนั้น เสียงของท่านมันจะเป็นแสงเล็ก ๆ แล้วบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้วเขาได้ยินเขาก็จะตามเสียงมาแล้วเข้ามาอาศัยร่างของท่าน ซึ่งเป็นลูกเป็นหลานได้ โมทนาบุญจากการสวดมนต์ และยังมีเทพ พรหม เทวดา นางฟ้า รุกขเทวดา เจ้าที่ ฯลฯ เขามานั่งอยู่ข้าง ๆ โมทนาบุญกับเรา กายหยาบของเรามันกระทบกับกายละเอียดของเขา มันจึงเกิดอาการสารพัดที่บอกมา แต่อย่ากลัวนะคะ ท่านทำดีพวกเขาจึงมาขอมีส่วนในบุญด้วย …การสวดมนต์นั้น ไม่มีมนต์บทใดที่สามารถขจัดทุกข์ได้ คนเข้าใจผิดเรื่องนี้มากทุกข์ยังตั้งอยู่ แต่ใจเรามันจะสามารถยอมรับความจริงได้แล้ว ใจก็จะเบาลงเอง
…อย่างแรก "ต้องสมาทานศีลห้าทุกวัน เวลาไหนก็ได้เพราะศีลจะครอบคลุมเป็นเกราะให้เราตลอดทั้งวันทั้งคืนที่เราไม่ได้ไปเบียดเบียนใคร ถึงศีลขาดไปหนึ่งข้อ แต่อีกสี่ข้อก็ยังค้ำจุนให้เรามีศีลอยู่ และ พุทธคุณของศีลนี้จะส่งผลให้เราเจอแต่สิ่งดีงามตลอดทั้งวัน
…หลักการสวดมนต์ เราต้องสมาทานศีลห้าก่อนสวดบทอื่นใดในโลกนี้ เพราะการสมาทานศีลห้า จะเป็นการกรองเสียงให้เป็นทิพย์ก่อน แล้วเราจึงสวดบทอื่นได้หมดทุกบท
….หลักการอีกอย่างคือการ สวดด้วยความตั้งใจ เสียงดังฟังชัด การสวดมนต์ไม่ใช่การภาวนา เราจึงต้อง ให้เทวดา นางไม้ เจ้าที่ ฯลฯ ได้ยิน มาร่วมโมทนาบุญกับเรา เราต้องมั่นใจในพลังที่ออกจากน้ำเสียงของเรา ว่าเสียงที่เปล่งไปนั้น สามารถดังไปทั่วสวรรค์ และ ต้องเกิดจากความศรัทธา กราบไหว้พระ ก็ต้องเบญจางคประดิษฐ์ให้สวยงามนิ้วโป้งแตะหว่างคิ้ว พอก้ม หน้าผากให้แตะถึงพื้นไม่ใช่ทิ่มหัวลงไป เหมือนเป็นคนไม่มีศรัทธา อย่างนี้บุญที่ได้ จะไม่ละเอียดเท่าคนที่เขาทำอย่างประณีตค่ะ
…การสวดมนต์ก่อนนอนที่ถูกต้อง เรียงลำดับบทสวดดังนี้ค่ะ
( เราจะลงคำเริ่มต้นของบทสวดของแต่ละบท ให้นะคะ ) เริ่มจาก
คำบูชาพระ อิมินา สักกาเรนะ พุทธัง อะภิปูชะยามิ (สวดคนเดียวลงด้วย "มิ" แต่สวดหลายคนเปลี่ยนเป็น "มะ") ฯลฯ
……คำนมัสการพระรัตนตรัย
อะระหัง สัมมา สัมพุทโธ ภะคะวา
พุทธังภะคะวันตัง อภิวาเทมิ ฯลฯ
…..คำอาราธนาศีล5
อะหัง ภันเต วิสุง วิสุง รักขะนัตถายะ (ถ้าสวดหลายคนเปลี่ยนจาก อะหัง เป็น มะยัง) ฯลฯ
…..คำนมัสการพระพุทธเจ้า
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (3 จบ) ฯลฯ
…..ไตรสรณคมณ์
พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ ฯลฯ
…..ศีล 5
ปาณาติปาตา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ ฯลฯ
…..คำขอขมาพระรัตนตรัย
สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต อุกาสะ ทวารัตเยนะ กะตัง ฯลฯ
…..คำแผ่เมตตาให้แก่ตนเอง (การที่เราจะแผ่เมตตาให้ใคร ให้จดจำเสมอว่า เราต้องให้เราก่อน เมื่อเรามีบุญเราจึงให้คนอื่นได้ค่ะ)
อะหัง สุขิโต โหมิ ขอให้ข้าพเจ้าจงมีความสุข
อะหัง นิททุกโข โหมิ ขอให้ข้าพเจ้าจงปราศจากทุกข์ ฯลฯ
…..คำแผ่เมตตาให้แก่ผู้อื่น (พอขึ้นสัพเพ สัตตา วิญญาณของสัตว์ที่เรากินไปในแต่ละวันก็จะไปเกิดในทันทีไม่เกาะตามเนื้อตัวเราแล้วค่ะ)
สัพเพ สัตตา สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง ที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ฯลฯ อิมานิ ปัญจะ สิกขาปะทานิ สะมาทิยามิ (สวด 3 จบ บทนี้ขอให้ปัญญาทางธรรมจงเกิดกับเรา ขาดไม่ได้เช่นกันค่ะ)
หากท่านอยากสวดมนต์บทใดๆ นอกเหนือจากนี้ ให้สวดแทรกไปก่อนที่จะ "แผ่เมตตาให้ตัวเอง" จากนั้นหากใครประสงค์จะนั่งสมาธิ ก็ให้ ขอพระกรรมฐานก่อนทุกครั้ง แล้ว นั่งสมาธิเป็นเวลาสั้นๆ
( การเริ่มต้นฝึกการนั่งสมาธิ อย่านั่งนานเพราะระยะเวลาไม่ช่วยให้ท่านได้บุญมากเท่ากับการนั่งแล้วกำหนดสติของเราได้ตลอดต่อเนื่อง อยู่กับลมหายใจ ) ***ในช่วงทำวิปัสสนาสมาธินั้น หากเราเผลอส่งจิตไหลออกนอกแล้วไม่ดึงกลับ ไปคิดถึงคนที่เราชิงชัง เผลอไปคิดถึงลูกถึงสามี คิดถึงงาน ฯลฯ มันไปสวนคำสอนที่พระพุทธเจ้า ท่านทรงสอนให้เรากำหนดรู้อยู่กับลมเท่านั้น สรุปสั้น ๆ ให้เข้าใจก่อนว่า พระพุทธเจ้าไม่สอนให้เรานั่งแล้วคิดส่งจิตไปหาใคร เราต้องทำเพียงให้รู้กายใจในตัวเราเท่านั้น
โดยการตามดูสภาวะธรรม ความจริงตามธรรมชาติที่เกิดขึ้น เช่น ท้องมันพอง เราก็ตามรู้ว่าพอง ท้องมันยุบเราก็ตามรู้ว่ามันยุบ เมื่อปวดข้อ ปวดขาก็ให้ตามรู้ว่าปวดหนอ ๆ ๆ อย่าขยับตัวเด็ดขาด คนที่เริ่มต้นฝึกใหม่ๆ ขอให้นั่งเพียงระยะสั้น (10-15 นาที) ข้อมูลจาก kaijeaw
Post A Comment: