PCOS มีอันตรายอย่างไร

จากการติดตามคนที่เป็นโรค PCOS พบว่า มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคต่อไปนี้

1. ปัญหามีบุตรยาก จากรังไข่ทำงานผิดปกติ

2. ปัญหาการตกเลือด โลหิตจาง เพราะประจำเดือนมามากและนานเกินไป

3. เป็นมะเร็งมดลูก มะเร็งเต้านม เพราะเยื่อบุมดลูกและเต้านมถูกกระตุ้นด้วยเอสโตรเจนจำนวนมากนานๆ

4. เป็นเบาหวาน (เพราะอินซูลินทำงานได้ไม่ดี) และโรคแทรกซ้อนของเบาหวาน เช่นโรคความดันโลหิตสูง โรคทางสมอง ไต และหัวใจ เป็นต้น

ระวังภัยเงียบของสตรีที่มีน้ำหนักมากและประจำเดือนมาไม่ปกติ


PCOS คืออะไร
PCOS ย่อมาจาก Polycystic Ovarian Syndrome (บางทีก็เรียก PCOD ย่อมาจาก Polycystic Ovarian Disease) เป็นกลุ่มอาการหรือโรคที่พบบ่อยในสตรีอย่างหนึ่ง.

อาการประกอบไปด้วย

ประจำเดือนมาไม่ปกติ ขาดประจำเดือนนานๆ เป็นอย่างแรก (เกิดจากไม่มีการตกไข่หรือตกไข่ผิดปกติ ไม่สม่ำเสมอ) น้ำหนักมาก (อ้วน) เป็นอย่างที่สอง มีขนดกกว่าปกติที่ใบหน้า ร่องอก และท้องน้อย เป็นอย่างที่สาม

ที่บอกว่าพบมากเพราะพบได้ใน 5-10% ของสตรีวัยเจริญพันธุ์ ที่บอกว่าเป็นภัยเงียบก็เพราะมันอาจจะทำให้เกิดโรคเรื้อรังและร้ายแรงบางอย่าง( ซึ่งาจะกล่าวต่อไป )

โรคนี้พบกันมาตั้งแต่ปี 1930 โดยสูตินรีแพทย์ชาวเยอรมัน 2 ท่าน นามสกุล Stein และ Leventhal อธิบายผู้ป่วยสตรีที่มีอาการประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ อ้วน และมีขนดก พร้อมกับตรวจพบลักษณะของรังไข่มีความผิดปกติจำเพาะตัว และไข่ไม่ตกเรื้อรัง

สตรีที่จะมาปรึกษาแพทย์ด้วยปัญหา 2 ประการ เป็นส่วนใหญ่ คือ

1. หลังจากผ่านวัยรุ่นมานานแล้ว ประจำเดือนไม่มา หรือหลาย ๆ เดือนมาครั้งหนึ่ง หรือประจำเดือนมาไม่แน่นอน หรือมาคราวละนาน ๆ และมามากจนซีดโลหิตจาง

2. แต่งงานนานแล้วไม่ตั้งครรภ์ อาจมี หรือ ไม่มีอาการในข้อ 1 ร่วมด้วย


แพทย์จะวินิจฉัย PCOS ได้อย่างไร?

เนื่องจากอาการทั้ง 3 อย่างนี้ แต่ละอย่างเกิดจากโรคอื่นๆ ได้ เช่น ความผิดปกติที่ประสาทและสมอง ความผิดปกติที่ต่อมหมวกไต ต่อมไธรอยด์ หรือที่ตับอ่อน เนื้องอกที่รังไข่ เป็นต้น

การวินิจฉัยจึงต้องดูเป็นขั้นเป็นตอน ตั้งแต่ประวัติอาการ การตรวจร่างกาย การตรวจภายใน ทำ ultrasound และการตรวจฮอร์โมนเพศ จึงจะให้การวินิจฉัยที่แน่นอน (บางทีแพทย์อาจไม่ตรวจหมดทุกอย่างก็เป็นได้)

แนวทางรักษา PCOS


เนื่องจากเรายังไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริงของโรคนี้ ดังนั้นแนวทางการรักษาจึงเป็นการทำเพื่อแก้ปัญหาของผู้ป่วย วิทยาการตอนนี้เราทราบว่ากลุ่มอาการนี้มีความผิดปกติ 3 อย่างคือ รังไข่ทำงานผิดปกติ มีขนขึ้น และระดับอินซูลินสูงเนื่องจากเซลล์ตอบสนองไม่ดี เพื่อป้องกันผลร้ายจากสิ่งดังกล่าว จึงแบ่งผู้ป่วยเป็น 2 พวก คร่าว ๆ คือ

รายที่ไม่ต้องการมีบุตร

ไม่ว่าปัจจุบันหรือตลอดไป หลักการรักษาคือ ทำให้มีประจำเดือนเพื่อป้องกันเยื่อบุโพรงมดลูกหนาเกินไป เพื่อป้องกันความเสี่ยงต่อเลือดออกมากและความเสี่ยงต่อมะเร็งในอนาคต ด้วยการให้ฮอร์โมนเลียนแบบการมีไข่ตก ที่สะดวกที่สุดคือการได้รับยาคุมกำเนิด ซึ่งจะช่วยให้มีประจำเดือนปกติ และคุมกำเนิดไปในคราวเดียวกัน (คนเป็นโรคนี้อาจมีไข่ตกบ้างบางเวลา)

ถ้าไม่ต้องการรับประทานยาคุมกำเนิดก็ให้ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนรับประทานเป็นรอบ ๆ ไป ถ้ามีขนดกด้วย ก็ให้ยาคุมกำเนิดชนิดที่มีฮอร์โมนลดการสร้างแอนโดรเจน ถ้ามีปัญหาเรื่องอ้วนก็ให้ยาที่กระตุ้นการตอบสนองต่ออินซูลิน เพื่อให้การใช้น้ำตาลในเซลล์ดีขึ้น

ในทางกลับกันถ้าต้องการมีบุตร ก็ต้องกระตุ้นให้มีการตกไข่ หรือการใช้ยากระตุ้นการตอบสนองต่ออินซูลินของร่างกายหรือทั้ง 2 อย่างแล้วแต่กรณี ถ้ายังไม่ได้ผล (หรือเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง) คือ ใช้การผ่าตัดส่องกล้องผ่านช่องท้องโดยใช้ไฟฟ้าไปทำลายเนื้อเยื่อของรังไข่ส่วนที่สร้างแอนโดรเจนมากเกินไป ซึ่งช่วยทำให้การตกไข่เองได้ และตั้งครรภ์ 50-60 %

สรุปPCOS เป็นกลุ่มโรคที่เรายังไม่ทราบสาเหตุแน่นอน แต่พอจะรักษาเยียวยาได้ตามแต่ปัญหาและความต้องการของผู้ป่วย หวังว่าการแพทย์คงทราบสาเหตุและการรักษาที่ได้ผลดีขึ้นเรื่อย ๆตามวิทยาการที่ก้าวหน้าขึ้นตลอดเวลา
Share To:

Post A Comment: